รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ

การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ

ฝ้า กระ จุดด่างดำ ล้วนเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม โดยเกิดจากเซลล์เม็ดสีเมลานิน (Melanocyte) ในชั้นหนังแท้ชั้นล่าง (Basal Lamina) ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้เม็ดสีเมลานินไปสะสมอยู่บริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) กลายเป็นจุดสีน้ำตาลหรือสีดำ บริเวณผิวหนัง

สาเหตุของฝ้า กระ จุดด่างดำที่บ่อยได้บ่อย มีดังนี้

  • แสงแดด เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยรังสียูวีจากแสงแดดจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเมลานินมากขึ้น ทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้นเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ฮอร์โมน ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสูง เช่น ในระหว่างตั้งครรภ์หรือรับประทานยาคุมกำเนิด อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าได้มากกว่าปกติ
  • พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ ก็มีโอกาสที่เราจะเป็นโรคนี้เช่นกัน
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาสิว ยารักษาโรคจิตเภท ยารักษาความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน โรคตับ เป็นต้น
  • การระคายเคืองจากสารเคมี เช่น สารซักฟอก เครื่องสำอาง เป็นต้น
  • การบาดเจ็บที่ผิวหนัง เช่น รอยแผลเป็นจากสิว การผ่าตัด เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด เป็นต้น

วิธีการรักษาฝ้า กระ

  • การรักษาด้วยยาทา เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยใช้ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น กรดวิตามินเอ กรดโคจิก อาร์บูติน เป็นต้น ยาทาฝ้า กระ จุดด่างดำ ควรทาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลชัดเจน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ผิวแห้ง ระคายเคือง
  • การรักษาฝ้าโดยการฉีดยารักษาโดยตรง เป็นวิธีการรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการลดฝ้าได้รวดเร็วกว่าการทาครีม ใช้เวลาพักฟื้นน้อย และไม่ต้องผ่าตัด การฉีดยารักษาฝ้า จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นผิวโดยตรง โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า

ตัวยาที่ใช้ฉีดรักษาฝ้ามีหลายชนิด ที่นิยมใช้กัน ได้แก่

  • กรดโคจิก (Kojic acid) เป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในเห็ดโคจิ มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตเมลานิน
  • กรดทรานิซามิค (Tranexamic acid) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคเลือดออกผิดปกติ มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสเช่นกัน
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส และลดการขนส่งเมลานินไปยังเซลล์ผิวชั้นบน
  • กรดไกลโคลิค (Glycolic acid) เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก เผยผิวใหม่ที่มีเม็ดสีสม่ำเสมอ

ผลข้างเคียงของการฉีดยารักษาฝ้า อาจพบอาการระคายเคืองบริเวณที่ฉีด บวมแดงเล็กน้อย ผิวแห้งลอก ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์

จำนวนครั้งในการฉีดยารักษาฝ้า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของฝ้า โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม โดยปกติจะฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 4-6 ครั้ง จะเห็นผลชัดเจนภายใน 2-3 เดือน

  • การรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากเช่นกัน โดยการใช้เลเซอร์ยิงไปที่เม็ดสีฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำให้เม็ดสีแตกตัวและหลุดลอกออก การรักษาด้วยเลเซอร์อาจทำให้ผิวแดง บวม ลอก แสบ หรือมีรอยดำหลังการรักษาได้ ผลข้างเคียงเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • การรักษาด้วย IPL เป็นวิธีคล้ายคลึงกับการรักษาด้วยเลเซอร์ โดยการใช้แสง IPL ยิงไปที่เม็ดสีฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำให้เม็ดสีแตกตัวและหลุดลอกออก ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ผิวแดง บวม ลอก แสบ หรือมีรอยดำหลังการรักษาได้ ผลข้างเคียงเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นวิธีที่ใช้สำหรับฝ้า กระ จุดด่างดำที่รุนแรงมาก โดยการตัดเอาเซลล์ที่เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำออก ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ เกิดแผลเป็น

นอกจากการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์แล้ว การดูแลผิวด้วยตนเองก็มีส่วนช่วยในการลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำได้เช่นกัน ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้รังสียูวีจากแสงแดดทำร้ายผิว
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด เช่น วิตามินซี วิตามินอี เรสเวอราทรอล เป็นต้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น จะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและช่วยชะลอการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ผิวจึงดูกระจ่างใส
  • พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น

ปรึกษาแพทย์หรือพยาบาล